Saturday, December 25, 2010

Real Preppists

ก่อนอื่นต้องขออภัยที่ช่วงนี้ไม่ได้มีเรื่องราวใหม่มาให้อ่านกัน

ในเมืองไทยก็ยังมีผู้ชื่นชอบสไตล์ prep มากพอสมควร ไปเก็บภาพนี้มาได้ จึงนำมาให้ดูกัน เพราะคิดว่าเป็นการเลือกสีที่เรียบง่ายแต่สวยดี ส่วนประกอบก็เป็นชิ้นหลักๆในตู้เสื้อผ้าของทุกท่าน

"เชิ้ต oxford button-down + ขาสั้น Chino สีกากี + Boat shoes
เหมือนสมการสารพัดประโยชน์สำหรับทุกโจทย์ปัญหา"



จำได้ว่าวันนั้นมีแค่ iPhone ติดตัวอยู่ ภาพอาจไม่ชัดมากขนาดนั้นแต่หวังว่าจะชื่นชอบกันนะครับ
แล้วพบกับ post หน้าเร็วๆนี้

สุขสันต์วันคริสต์มาสและสวัสดีปีใหม่ครับ

Saturday, November 27, 2010

Vintage Tunes by thePreppist: Frank Sinatra

เพลงเกี่ยวกับสไตล์การแต่งตัวยังไง?

แน่นอนว่าสไตล์หมายถึงการแต่งตัวให้เข้ากับบุคลิค สำหรับผมแล้วเพลงที่ฟังสามารถบ่งบอกถึงบุคลิคและความคิดของคนแต่ละคนได้เลยทีเดียว


คงไม่ต้องแนะนำอะไรกันมากกับนักร้องชื่อก้องอย่าง แฟรงก์ ซินาตร้า  มาแนะนำเพลงกันเลยดีกว่า

- Theme from New York, New York เพลงที่สรุปจินตนาการความฝันของคนรุ่นใหม่ในยุคนั้น กับเส้นทางสู่ความสำเร็จสูงสุดในนิวยอร์คศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของโลก "If I could make it there, I'll make it anywhere.  It's up to you, New York, New York!"




-That's Life; ชีวิตคือชีวิต แต่ผมคงอธิบายได้ไม่ดีเท่า Frank Sinatra




Love's Been Good to Me; คนไม่สามารถที่จะต้องมีสิ่งที่ต้องการ ในแบบที่ต้องการตลอดไป "Still, I'm all happy, the reason is, you see, 'once in a while, along the way, love's been good to me.'"



Stay tune and stay in style! ;)

Wednesday, November 24, 2010

In Napoli, where love is king, when boys meet girls, this is what they say

นอกจากคำว่า 'That's Amore' แล้ว Napoli หรือเมืองเนเปิลส์ในภาษาอังกฤษยังเป็นที่รู้จักว่าเป็นสถานที่ผลิตสูทชั้นเยี่ยมไม่แพ้ Savile Row ในลอนดอน ประเทศอังกฤษ มิลานเป็นเมืองแฟชั่นบ้านเกิดของดีไซเนอร์ชื่อดังอย่าง Giorgio Armani, Prada หรือ Dolce&Gabbana ก็จริง แต่แบรนด์จากมิลานไม่ใช่เสื้อผ้าที่ผู้ชายชาวอิตาเลียน หรือชาติอื่นๆเลือกใช้ แบรนด์จากเมืองนาโปลีต่างหากที่เป็นสูทคุณภาพ ทำจากมือ ราคาทุกยูโรทุกเซนต์ที่จ่ายไปได้กลับมาเป็นคุณภาพ งานฝีมือ และสไตล์ที่ไม่มีวันตาย

ภาพ: Boglioli


สูทจากนาโปลีนั้นมีโครงสร้างที่ต่างจากที่อื่น ช่างตัดสูทจากลอนดอนชอบสูทที่เสริมไหล่ (shoulder padding) โครงสร้างแข็งแรงดูมีอำนาจ ส่วนผ้านั้นจะใช้ผ้าที่หนาเข้ากับสภาพอากาศที่นั่น สูทส่วนใหญ่ในโลกนั้นก็จะมีโครงสร้างค่อนข้างแข็ง และมีการเสริมไหล่ รวมถึงสูทส่วนใหญ่ที่ขายในประเทศไทยด้วย

สปอร์ตแจ็กเก็ตจาก Isaia Napoli

สูทสไตล์นาโปลีนั้นมีจุดเด่นที่การตัดให้เข้ากับสภาพอากาศที่นั่นซึ่งร้อนน้อยกว่ากรุงเทพเล็กน้อย ผ้าที่ใช้จะเป็นผ้าที่บางและพลิ้วกว่า บางครั้งก็ไม่ใส่ซับใน ส่วนโครงสร้างของสูทก็จะเบาและดูซอฟท์กว่า เวลาใส่ก็จะไม่ค่อยรู้สึกว่ากำลังใส่เสื้อนอกอยู่อีกตัว  เสริมไหล่เพียงเล็กน้อยหรือไม่เสริมเลย ไหล่ของสูทแบบนาโปลีจะซับซ้อนกว่า และดูแต่งต่างจากสูทที่อื่นอย่างชัดเจน

Summer Collection จาก Kiton

แบรนด์เสื้อผ้าจากนาโปลีส่วนใหญ่จะไม่ค่อยโฆษนา แต่การตัดเย็บด้วยมือล้วนๆที่อาศัยเทคนิคของช่างตัดสูทผู้เชี่ยวชาญทำให้ราคาออกมาสูงมาก แต่สำหรับประเทศที่มีวัฒนธรรมการใส่สูทที่เป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกอย่างอิตาลีนั้น สูทจากนาโปลีนับเป็นผลงานชิ้นเอกเป็นที่เชิดหน้าชูตาของชาวอิตาเลียนเลยทีเดียว

ขอทิ้งท้ายกันด้วน trailer ของสารคดีเกี่ยวกับช่างตัดสูทในเมืองนาโปลีนะครับ Stay in Style!

Monday, November 15, 2010

ซื้อยีนส์อย่างคุ้มค่าเงิน: part 2

ห่างหายไปนานกับเรื่องราวกางเกงยีนส์ เช่นเดียวกับอัพเดทอื่นๆ กับ thePreppist วันนี้จะมาเล่าต่อเกี่ยวกับการเลือกยีนส์ตัวโปรดของคุณ
คราวที่แล้วใน part 1 ผมได้ บอกวิธีเลือกยีนส์แบบคร่าวๆ ซึ่งเป็นข้อแนะนำหลักๆ ก่อนที่คุณจะทุบกระปุกไปซื้อจริงๆที่ร้าน ในเมืองไทยจริงๆตอนนี้มีตัวเลือกอยู่มากมายพอสมควร เทียบกับเมื่อสามสี่ปีก่อน
เอาเป็นว่าเลือกเรียงตามงบประมาณดีกว่าแบบที่เรียกว่าคุ้มค่าเงินของคุณจริงๆ ราคาด้านล่างจะเป็นการประมาณนะครับ แต่จะไม่หนีไปจากนี้มาก

1. ทุบกระปุก 400 บาท: ยีนส์ Raw ที่จตุจักร โดยให้ถามหา "ยีนส์ผ้าแข็ง" ยี่ห้อนั้นก็ส่วนใหญ่เป็น Levi's แต่ผมไม่คิดว่าจะเป็นของแท้แต่อย่างใดด้วยราคา range นี้ อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเคยเห็นพวกช่างก่อสร้างใส่จนได้ fading ที่สมบูรณ์แบบแล้ว คุณจะอดคิดไม่ได้ว่า "ทำยังไงให้ได้แบบนั้นนะ" วันหลังจะถ่ายรูปมาให้ดูกัน

2. ทุบกระปุก 1,700 บาท: Zara jeans ซึ่งมีหลายสีและฟอก ให้เลือกตัวที่สีเรียบและเข้ม แต่ไม่ใช่ดำ เรื่องของทรงนั้นจะเอวและกระเป๋าหลังจะต่ำลงมาเล็กน้อย แต่ไม่เป็นปัญหา เพราะโดยรวมทรงถือว่าโอเคเลย เวลาซื้อถ้ากลัวยืดอาจซื้อไซส์ต่ำกว่าปกติ 1 ไซส์ได้

3. ทุบกระปุก 2,000 บาท: Levi's 501 (thePreppist's choice) คงไม่มียีนส์รุ่นไหนในโลกที่จะบ่งบอกความดั้งเดิมได้เท่า 501 ซึ่งหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำและตามร้าน levi's ได้เลย ทรงจะเป็น slim แต่ไม่เล็กมาก และเอวจะสูงเล็กน้อย แต่ใส่ออกมาจะไม่ได้ดูประหลาดอย่างที่คิด รุ่นนี้ถือเป็น thePreppist's must-have item ในตู้อย่างแท้จริง

4. ทุบกระปุก 3,000 บาท: Cheap Monday เป็นแบรนด์จากสวีเดนที่ได้รับความนิยมด้วยคุณภาพและราคาที่เหมาะสมกัน เช่นเคย เลือกสีน้ำเงินเข้มและคุณจะไม่ผิดหวังกับ fading ที่จะเกิดขึ้นในเวลาต่อมา เรื่องของทรงนั้นก็จะ slim พอสมควร

5. ทุบกระปุก 4,500 บาท: Nudie Slim Jim ยี่ห้อที่แฟนๆกางเกงยีนส์ทุกคนคงต้องรู้จักนอกเหนือไปจาก Levi's โดยรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ slim และมีฟอกให้เลือกหลายแบบ Nudie ขึ้นชื่อเรื่องจากฟอกยีนส์และสร้าง Fading effect สังเคราะห์อยู่แล้ว แต่ผมแนะนำให้ซื้อรุ่น raw หรือที่ Nudie เรียกว่า Dry เพื่อการนำไป "ปั้น" เอง

6. ทุบกระปุก 5,000 บาท: APC New Standard แบรนด์จากยุโรปที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในอเมริกา ด้วยการตัดเย็บและคุณภาพผ้าชั้นดี นอกจากนี้ยังมี fading effect ที่สวยงามมากอีกด้วย ทรงนั้นจะ slim กว่า 501 เล็กน้อย เวลาซื้อเลือกไซส์น้อยกว่าปกติ 2 ไซส์ได้เลยเพราะ APC jeans ขึ้นชื่อเรื่องการยืดของเอว เป็น process ของการผลิต ไม่มีผลเสียต่อคุณภาพแต่อย่างใด

7. ทุบกระปุก 10,000 บาท: Pure Blue Japan Left Hand Selvage Denim Tight Straight ถึงชื่อ Tight แต่ทรงไม่ได้เล็กหรือรัดแต่อย่างใด และหากงบประมาณไม่ใช่ปัญหาเราแนะนำตัวเลือกนี้ เป็นผ้า raw 13.5 oz ผลิตจากผ้ายีนส์ชั้นเยี่ยมมาตรฐานญี่ปุ่น จะมี weft เป็นสีเทาและ selvage line เป็นสีน้ำเงิน ซึ่งแตกต่างจากยีนส์ Selvage ทั่วไป แน่นอนว่ายีนส์นี้เหมาะแก่คนรักยีนส์มากกว่าพวก prep เป็นไหนๆ เพราะฉะนั้นนี่ไม่ควรเป็นยีนส์ตัวแรกในตู้ของคุณอย่างแน่นอน

หวังว่าวิธีการเลือกยีนส์ 7 ข้อ กับยีนส์ 7 แบบ ที่แนะนำมาจะช่วยให้การตัดสินใจง่ายขึ้นนะครับ





Saturday, November 6, 2010

thePreppist wardrobe staple: The Navy Blazer

Navy Blazer คือ เครื่องแต่งกายของผู้ชายที่อเนกประสงค์มากที่สุด (สังเกตได้จากวิดีโอข้างล่าง)


Navy Blazer มีลักษณะคล้ายกับเสื้อสูทสีน้ำเงิน สิ่งที่ต่างกันคือ Blazer จะไม่เป็นทางการเท่าและอาจมีลูกเล่นเยอะกว่า เช่น กระดุมสีทองเหลือง หรือการใช้ด้ายสีสันสะดุดตา

ภาพ: Esquire

Navy Blazer เป็นเครื่องแต่งกายที่ใส่ใส่ง่ายและไม่มีวันตกยุค คุณสามารถใส่ Navy Blazer ไปได้ทุกที่ ทำงาน วันหยุด ปาร์ตี้กลางวัน กลางคืน งานแต่งงานเพื่อน หรือจะให้แฟนใส่ก็สวยเก๋ไม่เบา

ภาพ: Brook Brothers

วัสดุที่ใช้ก็มีหลายชนิด เช่น ผ้าฝ้าย ลินิน ผ้าไหม หรือ wool  หลายๆคนอาจจะคิดว่า wool นั้นใส่เมืองไทยแล้วร้อน แต่ในความเป็นจริงแล้ว wool ใช้ได้ทั้งในอากาศร้อนและหนาว แต่ให้เลือกเป็น tropical wool (wool สำหรับประเทศเขตร้อน) ซึ่งจะบางและเบากว่า ถ้าเป็น super fine wool ที่ละเอียดมากๆ เช่น super100s super120s ก็จะยิ่งไม่ร้อน

Friday, October 22, 2010

Desert Boots หลากสี

สีบอกอะไรได้หลางอย่าง..

รองเท้าไฮเทคยุค 2010 สามารถต้านแรงกดดัน
จากคนรอบข้างได้มากกว่าแรงดันในอวกาศ

รองเท้าเสริมโชคลาภ ใส่แล้วรวย เงินทองมั่งคั่ง

"ผมชื่อ Megaman.."

"..นี่เพื่อนผม Barney the Dinosaur"


คงไม่ต้องบอกแล้วว่า
...คู่ไหนจะเป็น thePreppist's choice

Tuesday, October 19, 2010

Tea Partay

เอามาให้ดูกันกับ "Tea Partay" ที่ไม่ใช่ Tea Party Movement (กลุ่ม Lobby ที่ต่อต้านพรรค Democrat ของ Barrack Obama)  "Tea Partay" นับเป็นโฆษณา Viral Marketing บนอินเตอร์เนตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอันนึงในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้

Thursday, October 14, 2010

ศิลปะของผู้ชาย #2: แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ

"กางเกงยีนส์ตัวเก่งกับรองเท้าที่ใส่ได้ทุกวัน + เสื้อเชิ้ตสีและลายต่างๆ" เป็นภาพที่ผมนึกได้หากคิดถึงการตัวตัวของผู้ชายที่ใช้กางเกงยีนส์เป็นเครื่องแต่งกายชิ้นหลัก และแสดงความเป็นตัวเองออกมาด้วยลายของเสื้อที่ใส่ที่ส่วนใหญ่จะเป็นสีเรียบๆ หรือเป็นลายทาง(stripe) สีที่เห็นบ่อยๆก็มักเป็นสีเข้ม เช่น สีดำ สีน้ำเงิน หรือไม่ก็สีขาว  แน่นอนว่าไม่มีอะไรผิด ผู้ชายทุกคนดูดีในเครื่องแต่งกายสีเข้ม สูทสีเข้มก็ถือเป็นชุดที่เป็นที่ยอมรับที่สุด

การที่เราจะจำกัดตัวเองกับเพียงเครื่องแต่งกายสีพื้นๆ ก็เหมือนกับการใช้ชีวิตอยู่ในกรอบที่เขียนขึ้นมาเอง ถึงแม้จะดูปลอดภัยไร้ความเสี่ยง แต่ก็คงต้องแลกมากับความจำเจ สิ่งที่ต้องเสียไปคือประสบการณ์อันหลากหลายน่าตื่นเต้นเต้นที่อยู่นอกกรอบความคิดเดิมๆ

เครื่องแบบของ New Yorker ในอดีต: เชิ้ตขาว สูทและเนคไทสีเข้ม หมวก ดูดีแต่ไร้จินตนาการ

ผมก็เป็นคนนึงที่เคยแต่งตัวแบบปลอดภัย คือใส่กางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม หรือสีเทาแบบขา'เดฟ'ตามสมัยนิยม กับรองเท้า sneaker พื้นบางๆ (แต่หัวไม่แหลม) และเสื้อเชิ้ต/ เสื้อโปโลสีพื้นๆ สีที่ใส่บ่อยเช่น สีดำ สีน้ำเงิน สีน้ำตาล ซึ่งเป็นสีที่ยังไงก็ไม่พลาด

แต่สิ่งที่สร้างแรงบัลดาลใจให้ผมในการใช้สีกับเครื่องแต่งกายก็คือ"ฤดู" จากได้มีโอกาศไปอยู่ในประเทศที่มี 4 ฤดูที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และมีธรรมชาติสวยงามอย่างประเทศสวีเดน 

ฤดูร้อน เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี อากาศไม่ร้อนไม่หนาวประมาณ 20 องศา และบรรยากาศที่คึกคักภายในเมือง ผู้คนมานั่งอาบแดด บางคนก็ว่ายน้ำในทะเลสาบที่อยู่ใจกลางเมืองหลวงStockholm ที่สำคัญคือพระอาทิตย์ที่นี่ขึ้นเร็วและตกช้ามากๆ สิ่งที่ชอบที่สุดอย่างนึงคือ การนั่งดื่มเบียร์กับเพื่อนๆบนภูเขา วิวของเมือง ธรรมชาติ บรรยากาศการอยู่กับเพื่อนๆ และท้องฟ้าที่ไม่มีวันมืดทำให้ลืมเวลาไปได้อย่างง่ายดาย 

หาดทรายกลางเมืองยามค่ำคืนใน Stockholm


ฤดูใบไม้ร่วง การผลัดใบและการเปลี่ยนสีของใบไม้จากสีเขียวไปสีแดง สีน้ำตาล สีเหลือง เป็นภาพที่สวยงามและแปลกตาสำหรับเด็กนักเรียนที่มีจากประเทศเขตร้อน ลมหนาวเริ่มพัดแรงขึ้นๆเป็นสัญญาณให้เริ่มนำเสื้อโค้ตออกมาใส่ อากาศเริ่มหม่นมัว และเวลากลางวันที่ค่อยๆหายไป การนั่งข้างนอกอาคารทำได้เพียงบางวัน แสงอาทิตย์เริ่มกลายเป็นสมบัติที่หายาก ความหดหู่เริ่มสัมผัสได้มากขึ้นเรื่อยๆ

สวนสาธาณะในฤดูใบไม้ร่วง Lund, Sweden

ฤดูหนาว ไม่น่าแปลกใจที่อัตราการฆ่าตัวตายมีมากที่สุดในฤดูหนาว กลางคืนยาวกว่ากลางวัน หิมะที่ตกหนักที่สุดในรอบ 30 ปี ผู้คนเริ่มหายไปจากในเมือง ความหนาวเย็นที่ไม่คุ้นเคย แสงอาทิตย์แบบหม่นๆเริ่มขึ้นในเวลาประมาณ 9 โมงเช้า และเริ่มหายไปตอน 3 โมงเย็น ตลอดเวลา 3 เดือน ดวงอาทิตย์ออกมาให้เห็นจริงๆไม่ถึง 10 ครั้ง แต่ทุกครั้งที่มีแสงอาทิตย์ ทุกคนจะออกมาเดินในเมืองพร้อมกับแววตาที่มีความสุขกับแสงแดดที่ได้มาเพียงเล็กน้อย

ภาพหลังพายุหิมะ Lund, Sweden

ฤดูใบไม้ผลิ ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง หิมะเริ่มละลายอย่างช้าๆ กลางวันเริ่มยาวขึ้น แดดเริ่มแรงขึ้น ผู้คนและสัตว์ที่หายไปเริ่มกลับมา ต้นไม้เริ่มออกดอกอีกครั้ง เสียงนกร้องลอยอยู่ในอากาศพร้อมกับกลิ่มเกษรของดอกไม้หลากสี การเฉลิมฉลองเริ่มขึ้นอีกครั้ง ฤดูหนาวอันยาวนานทำให้เห็นถึงคุณค่าและความมหัศจรรย์ของสิ่งเล็กๆน้อยๆอย่างแสงแดด อากาศ และธรรมชาติ

สีสันและแสงแดดกลับมาอีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิ

เห็นได้ชัดว่าแรงบันดาลใจของผู้คน และดีไซเนอร์มาจากฤดูทั้ง 4 ฤดู การใช้สีก็ต่างกันไป เช่น สีสันสดใสสำหรับหน้าร้อน สีแนว Earth tone ที่แมตช์กับสีของไม้ใบร่วง หรือสีเทาและดำที่แสดงให้เห็นถึงความสงบของจิตใจแม้ในช่วงเวลาที่หดหู่ของฤดูหนาว

สีสันของฤดูร้อน
ภาพ: Morris STHM
สี Earth Tone ในฤดูใบไม้ร่วง
ภาพ: Morris STHM
เสื้อโค้ตในฤดูหนาว
ภาพ: Corneliani
คราวหน้าเราจะมาพูดถึงภาคปฏิบัติของกางผสมสี และการประยุคใช้สีของเครื่องแต่งกายที่ถูกออกแบบมาสำหรับประเทศ 4 ฤดูในเมืองไทย Stay Tune!

Monday, October 11, 2010

Vintage Prep ว่าด้วยยีนส์ "ขาวเข้ม"


ขาวเข้ม?
ใช่ ขาวเข้ม

ต่อไปนี้ เวลาได้ยินคำว่ากางเกงยีนส์ ให้จำไว้เสมอว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็นแค่โทนสีน้ำเงิน เทา หรือ ดำ อีกหนึ่งทางเลือกที่คุณอาจมองข้ามไปคือ ยีนสีขาว หรือสีครีมอ่อนๆ หรือที่เรียกว่า white หรือ off whiteโดย thePreppist ขอตั้งชื่อว่า "สีขาวเข้ม" ! ซึ่งเป็น shade ที่อยากจะแนะนำมากที่สุด เนื่องจาก สีขาวสนิทและสว่างเกินไป จะทำให้คุณดู show off และยังหาเสื้อมาจับคู่ยากขึ้นอีกด้วย

เช่นเคย เลือก fitting ที่ไม่รัดขาและน่อง แต่ slim ส่วนความยาวขาก็แล้วแต่ชอบว่าจะโรลขากางเกงหรือไม่
อย่ามีลวดลายหรือการตกแต่งที่ดูแหวกแนวจนเกินไป เราเตือนคุณแล้วในโพสท์ก่อนๆ
ความยับของยีนส์สีขาวเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง จึงไม่ต้องห่วงเรื่องรีด


ในการเลือกของมาจับคู่:

1. เสื้อ: ห้ามใส่เสื้อสีขาว ถ้าอยากรู้ว่าทำไม ให้ลองใส่ดูหน้ากระจก แต่อย่าเดินออกจากบ้าน สีอื่นนอกเหนือจากนั้นถือว่าโอเค แนะนำว่าถ้าอยากใส่สีเข้มก็จะเป็น น้ำเงินเข้ม เทา หรือ น้ำตาล ส่วนสีอ่อนก็อาจเป็นสีครีม (แน่นอนว่าต้องเข้มกว่าสีกางเกงพอสมควร) การเลือกสีวิธีนี้ใช้ได้กับทั้งเสื้อยืดคอกลม คอวี โปโล และเสื้อเชิ้ต (ที่ไม่ใช่แบบทางการเกินไป)
Tip: หากต้องการอารมณ์ vintage ให้เลือกเสื้อที่สีฟอกหน่อยๆ แต่โดยธรรมชาติแล้วเมื่อคุณซักไปเรื่อยๆ เสื้อยืดตัวเก่งของคุณจะเกิดการ Age ของสีเอง (คล้ายๆกะยีนส์ผ้าดิบนั่นล่ะ) เพราะฉะนั้น เสื้อยีนส์ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจมากทีเดียว (โดยส่วนตัวผมชอบมาก)



2. เข็มขัด: หลักการคล้ายกับเสื้อแต่แนะนำหนังสีน้ำตาลเข้ม ไม่กว้างมาก และเป็นแบบที่หัวเข็มขัดเรียบๆ แบบที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษอาจดูดีสำหรับคุณผู้หญิง แต่สำหรับผู้ชายอาจจะไม่เวิคนัก ควรเลือกแบบคลาสสิคไว้ ส่วนเข็มขัดแบบผ้าก็นำมาใช้ได้แต่อย่ามีหลายสีมาก หรือจะไม่ใส่เลยก็ไม่เสียหาย
Tip: สำหรับผู้ชาย การเพิ่มลูกเล่นบนเข็มขัดคือการเลือกลายเส้นเข็มขัด ไม่ใช่หัวเข็มขัด


3. รองเท้า: ตัวสำเร็จสมการการแต่งตัวของผู้ชายคงหนีไม่พ้นรองเท้าที่เลือก ภาพด้านซ้ายบนเป็นการนำรองเท้าหนัง wingtip สีน้ำตาลเข้มมาใส่กับยีนส์ขาว(เข้ม) เกิดความ casual ผสมกับ dressy อย่างลงตัว ภาพด้านขวานั้นก็เป็นทางเลือกคลาสสิคคือ loafers โดยอาจเพิ่มความสนุกด้วยการเลือกสีที่แปลกตาออกไปก็ยังได้ ส่วน Desert boots และ boat shoes ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เคยเบื่อเช่นเดียวกับรองเท้า canvas
Tip: เช่นเดียวกับเสื้อ อย่าตกม้าตายด้วยการเลือกรองเท้าสีอ่อน




ทีนี้ก็เลิกบ่นเรื่องมีแต่ยีนส์เดิมๆได้แล้ว


Sunday, October 10, 2010

A Vintage Hero: Eugene Curran "Gene" Kelly (1912-1996)



Gene Kelly เป็นนักร้อง, นักเต้น, นักแสดงระดับตำนานของฮอลลีวู้ด และสหรัฐอเมริกาในยุคเดียวกับ Frank Sinatra และ Dean Martin  สิ่งที่คนจำ Kelly ได้ดีที่สุดคงเป็นภาพยนตร์ของเขาเรื่อง 'Singin' in the Rain' ในปี 1952 และ 'An American in Paris' (1951)


จุดเด่นของ Gene Kelly คือบุคลิคที่ดูเป็นสุภาพบุรุษเต็มตัว ถึงแม้การเต้น Tap Dance ของเขาจะมีรากฐานมากจากการเต้นบัลเล่ต์ที่มักจะถูกมองว่าเป็นผู้หญิง แต่ด้วยบุคลิคของเขาทำให้การเต้นดูออกมาแมนมากๆ ความเป็นสุภาพบุรุษและการวางตัวอันเหมาะสม ดูดี ดูไม่ฟุ้มเฟ้อ และเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กๆ ของดาราอเมริกันในยุคของ Gene Kelly นั้นเป็นสิ่งที่หายากในปัจจุบันที่นับวันยิ่งจะให้ความสำคัญกับความสุขที่แท้จริงน้อยลงไปทุกทีๆ



Singin' in The Rain โดย Gene Kelly


Singin' in The Rain บัลเลงโดย the Three Tenors ที่มีตำนานอย่าง Luciano Pavarotti เป็นสมาชิกด้วย


Gene Kelly กับ Frank Sinatra เมิื่อมีอายุแล้ว

Gene Kelly จากภาพยนตร์เรื่อง 'It's always Fair Weather'

Friday, October 8, 2010

ผู้ชายจะวินเทจบ้างได้ไหม

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณกับเสียงตอบรับอย่างดีสำหรับ blog thePreppist ของเรา และขอบคุณสำหรับคำแนะนำ และความเห็นทุกๆความเห็นครับ

จากกระแสการแต่งตัวแบบวินเทจในปัจจุบันซึ่งมักจะเน้นไปที่เสื้อผ้าผู้หญิง ก็เลยมีคุณผู้อ่านได้ถามเข้ามาว่า "ผู้ชายจะวินเทจบ้างได้ไหม?"

ภาพ: Mad Men

คำตอบก็คือ ได้แน่นอนครับ

จริงๆแล้วสไตล์การแต่งตัวของผู้ชายและผู้หญิงมีลักษณะที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยที่เสื้อผ้าผู้หญิงนั้นจะเน้นไปในทางแฟชั่นมากกว่า คือแบบจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างรวดเร็ว เทรนด์มีความสำคัญและเปลี่ยนบ่อย เสื้อผ้าสไตล์หนึ่งๆที่ซื้อมาอาจจะล้าสมัยได้ในเวลาไม่ถึงปี และอาจจะกลับมาฮิตได้ใหม่อย่างรวดเร็วด้วย นอกจากนี้เสื้อผ้าผู้หญิงยังมีความหลากหลายมากกว่าผู้ชาย ดีไซเนอร์มีอิสระในการออกแบบไม่ต้องขึ้นกับอะไรเหมือนเสื้อผ้าผู้ชายที่ยังไงๆก็คงหนีไม่พ้น เสื้อโปโล เสื้อเชิ้ต เสื้อยืด เสื้อสูท เนคไท และอื่นๆ

การแต่งกายของผู้ชายไม่ว่าในสมัยไหนๆก็ไม่หนีกันไปมาก ไม่ว่ายุคไหนผู้ชายใส่สูทผูกเนคไทก็ดูดีเสมอ
ภาพ: Mad Men

การแต่งกายของผู้ชายนั้นจะไม่เน้นแฟชั่นแต่เป็นสไตล์ซะมากกว่า คือสไตล์จะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากในยุคสมัยต่างๆ เสื้อผ้าไม่ค่อยตกยุค เสื้อเชิ้ตสีขาวก็ใส่ได้โดยไม่เชยเป็นเวลาร้อยๆปี ที่จะมีเปลี่ยนแปลงก็มักจะเป็นรายละเอียดปลีกย่อย เช่น บางยุคนิยมใส่เสื้อผ้าพอดีตัวแบบ slim fit บางช่วงนิยมแบบ classic fit  หรือใน Manhattan ยุค 60s ผู้ชายต้องใส่หมวกเวลาออกจากบ้าน แต่ปัจจุบันการใส่หมวกเป็นการแสดงออกถึงสไตล์ส่วนบุคคลล้วนๆ แต่ยังไงก็ดีผู้ชายก็ยังใส่สูทไปทำงาน หรือใส่เสื้อโปโลกับกางเกงขาสั้นในวันว่างอยู่ดี

นักเรียน Ivy League ในยุค 60s ในกางเกงลาย Madras ที่กลับมาฮิตในปัจจุบัน (โลโก้ของ thePreppist ก็เป็นเนคไท Madras)  ภาพ: Take Ivy

อย่างไรก็ดีสไตล์ผู้ชายในแต่ละยุคก็มีเสื้อผ้าที่เป็นที่นิยมในยุคนั้นๆเหมือนกัน ถ้าหากคำว่า "วินเทจ" หมายถึงการย้อนยุค สไตล์ Preppy ก็นับว่าเป็น "วินเทจ" ได้เหมือนกัน ด้วยความที่ Preppy เกิดขึ้นมาในยุค 60s ในสหรัฐ

Slim-fit Madras Tuxedo จาก RL Rugby ในคอลเลคชั่นหน้าร้อนปีนี้

แล้วจะแต่งวินเทจยังไงดี?

ก็คงจะไม่เหมาะนักหากจะนำกางเกงขาม้า(แบบม้ามากๆ)ในสมัยคุณพ่อยังหนุ่มๆมาใส่ในตอนนี้ หรือการใส่กางเกงขาสั้นมากๆก็คงจะดูแปลกตาจนเกินไป เคล็ดลับของการแต่งตัววินเทจให้ดูร่วมสมัยนั้นอยู่ที่"การใช้สไตล์ในอดีตมาเป็นแรงบัลดาลใจ และปรับให้เข้ากับ fitting แบบร่วมสมัย" เช่น การใช้ผ้าลายวินเทจมาทำเป็นกางเกง slim fit ใส่กางเกงให้สั้นกว่าปกติเพียงเล็กน้อย หรือใส่สูท 3 ชิ้นแบบพอดีตัว

ครั้งหน้าเราจะมาพูดถึงเคล็ดลับการใช้สไตล์วินเทจเป็นแรงบัลดาลใจในการแต่งตัวทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการครับ

ปล. แนะนำให้ดูซีรีส์เรื่อง Mad Men หากชอบสไตล์วินเทจครับ

อ่านเรื่องสไตล์วินเทจเพิ่มเติมได้ที่นี่!

>> ติดตาม thePreppist ได้ที่ facebook page ของเรา

เนื้อหาสาระดีๆจาก The Preppist ย้ายไปอยู่ที่ www.thepreppist.com แล้วครับ 

Thursday, September 23, 2010

ความ Preppy อยู่ที่ใจ

The Black Ivy from Street Etiquette on Vimeo.

Preppy ไม่เลือกเชื้อชาติ ไม่เลือกสีผิว...
Preppy ไม่ใช่สิ่งที่คุณอยากมี แต่คือสิ่งที่คุณเป็น...
Preppy ซื้อไม่ได้ หาไม่ได้ แต่มีอยู่แล้วในตัวทุกคน...
Preppy คือ ความอยากเรียนรู้ ความสร้างสรรค์ ความภูมิใจในสิ่งที่เป็นแบบไม่โอ้อวด...

นี่ไม่ใช่ความหมายจากพจนานุกรม เพราะพจนานุกรม'จำกัด'ความ แต่ความคิดและทัศนคติของคุณไม่ได้ถูกจำกัด!

ภาพ www.streetetiquette.com

Monday, September 20, 2010

ว่าด้วยการเลือกกรอบแว่นและโครงหน้า

จากคำถามบน Fanpage ของเราบนหน้า Facebook เกี่ยวกับการหาแว่น และจากโพสท์ที่แล้วเรื่องแว่น Vintage ทำให้ผมอยากเขียนเกี่ยวกับวิธีการเลือกทรงแว่นให้ใบหน้าเราดูดีที่สุดตามธรรมชาติ

จำไว้ว่า ไม่ว่ารูปหน้าคุณจะเป็นแบบไหน ก็จะมีทางเลือกให้เหมาะลมอยู่เสมอ เพียงแต่มีข้อแม้ว่าอย่าฝืนธรรมชาติของโครงหน้าของเรา ให้ใช้วิธี ทดแทนหรือชดเชยโครงหน้าของคุณแทนด้วยกรอบแว่น โดยโครงหน้าที่ว่ามีแบบหลักๆอยู่ 5 แบบ
1. หน้ารูปลูกแพร์: หน้าผากจะเล็กๆหน่อยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงโหนกแก้ม คางและกรามที่เด่นกว่าส่วนอื่นบนใบหน้า ให้พยายามดึงความสนใจมาที่ด้านบนของใบหน้าโดยเลือกแว่นที่เป็นแบบออกมนๆ กรอบหนา หรือ กรอบครึ่งหนึ่ง แต่อย่าเลือกที่เป็นเหลี่ยมหรือแบนเพราะจะทำให้ไปเน้นโครงหน้าของคุณ

2. หน้ารูปไข่: ใบหน้าที่ออกยาวและแคบกว่าแบบอื่น ด้านบนและล่างของใบหน้ามีขนาดค่อนข้างเท่ากัน เพื่อทำให้หน้าดูสั้นลงและสมดุลขึ้น เลือกกรอบแว่นตาที่ขนาดใหญ่ ปกปิดด้านบนของตา (ใต้คิ้ว) จนมาถึงด้านล่างของจมูก เพื่อให้เกิดความกว้างมากขึ้นบนใบหน้า จะเหลี่ยมหรือมนนั้นขึ้นอยู่กับความชอบของคุณ

3. หน้ารูปกลมมน: หน้าผากกว้างมนเช่นเดียวกับคาง โดยส่วนบนและล่างของใบหน้ามีขนาดเท่ากันคล้ายๆกับใบหน้ารูปไข่ แต่แบบกว้างกว่า กฏเหล็กคือห้ามเลือกกรอบที่กลม หรือโค้งมนอีก เพราะจะทำให้หน้าคุณกว้างและกลมกว่าเดิม ให้เลือกกรอบแบบเหลี่ยมๆไว้ ปลอดภัยกว่า
4. หน้ารูปหัวใจ: หน้าผากจะใหญ่และเล็กลงมาตามคางคล้ายกับรูปหัวใจนั่นแหละ อย่าเลือกกรอบที่ใหญ่เกินไปเพราะด้านล่างของใบหน้าอาจจะหายไปและดูไม่สมดุล อาจลองใช้กรอบที่บางและขนาดไม่ใหญ่มาก เพื่อเพิ่มความเด่นให้คางของคุณ ความเหลี่ยมหรือมนกรณีนี้ขึ้นอยู่กับความชอบแล้ว
5. หน้ารูปเหลี่ยม: เกือบจะเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับรูปหัวใจ ใบหน้าด้านบนและล่างเท่ากันและเป็นเหลี่ยม โหนกแก้มและคางชัดเจน ให้เลือกแว่นคล้ายกับใบหน้ารูปลูกแพร์คือ เลือก กรอบมน ห้ามเหลี่ยมและแบน กรอบหนา จะเป็นกรอบเต็มหรือไม่แล้วแต่ความพอใจของคุณ
จะหน้ารูปอะไรก็เลือกกรอบแว่นที่เหมาะสมใส่ได้ตามธรรมชาติ เพราะธรรมชาติไม่เคยลงโทษใคร